วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554

กาแล็กซีทางช้างเผือก


กาแล็กซี่ที่เราอยู่นั้นเรียกว่า "กาแล็คซี่ทางช้างเผือก" ซึ่งประกอบด้วยดาวฤกษ์2แสนล้านดวงถึง4แสนล้านดวง ดาวเคราะห์และเนบิวลา  กาแล็กซี่ทางช้างเผือกเกิดขึ้นเมื่อประมาณ1หมื่นล้านถึง1หมื่น4พันล้านปีมาแล้วจากกลุ่มก๊าซขนาดใหญ่ที่หมุนรอบตัวเองช้าๆ ที่จุดศูนย์กลางของกาแล็กซี่มีหลุมดำอยู่ที่นั้น ในกาแล็คซี่ทางช้างเผือกมีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่1แสนปีแสง...

กาแล็กซี (Galaxy)



หลังการเกิดบิ๊กแบงก็ได้เกิดเป็นเอกภพซึ่งอยู่ในพลังงานท่มีอุณภูมิสูงมาก เมื่ออุณภูมิลดลงนั้นเอกภพจะมีขนาดโตขึ้นเรื่อยๆ แรงโน้มถ่วงจะยึดเหนี่ยวสสารและพลังงานให้กลายเป็นก้อนก๊าซและก็กลายเป็นดาวฤกษ์  กระจุกดาวฤกษ์ขนาดมหึมานี้ จะถูกยึดเหนี่ยวเข้าด้วยกันด้วยแรงโน้มถ่วง กลายเป็นกาแลคซี่   และยังมีแรงโน้มถ่วงดึงดูดกาแลคซี่ข้างเคียงเข้ามาอีกเรื่อยๆ กาแลคซี่ที่อยู่ในเอกภพไม่ได้กระจายอยู่สม่ำเสมอแต่ส่วนใหญ่จะอยู่เป็นแผ่นกว้าง หรือเป็นกลุ่มๆ บางที่มีกาแลคซี่รวมอยู่่จำนวนมากเรียกว่า กระจุกกาแลคซี่

วันอาทิตย์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2554

วิชา จักรวาลวิทยา

วิชา จักรวาลวิทยา   เป็นการศึกษาเอกภพโดยรวม ซึ่งนับว่าเป็นการศึกษาถึงสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและเป็นพื้นฐานที่สุดในเวลาเดียวกัน จักรวาลวิทยามุ่งเน้นที่จะศึกษาถึงองค์ประกอบและความสัมพันธ์ของสรรพสิ่งทั้งหลายในเอกภพ พร้อมกับพยายามที่จะอธิบายความเป็นมาของเอกภพในอดีต และทำนายความเป็นไปของเอกภพในอนาคต เอกภพเป็นอย่างไร เอกภพมีขอบเขตจำกัดหรือไม่ เอกภพเกิดขึ้นได้อย่างไร เพราะเหตุใดเอกภพจึงมีรูปร่างลักษณะอย่างที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน และอนาคตข้างหน้าเอกภพจะเป็นอย่างไร ปัญหาเหล่านี้คือสิ่งที่นักจักรวาลวิทยาทั้งหลายสนใจ
จักรวาลวิทยาในความหมายที่กว้างที่สุด จะหมายถึงการทำความเข้าใจเอกภพโดยอาศัยความรู้จากหลายสาขาวิชา ไม่ว่าจะเป็น วิทยาศาสตร์ ปรัชญาศาสนา หรือศิลปะ แต่โดยทั่วไปในปัจจุบัน จักรวาลวิทยาจะหมายถึงการศึกษาเอกภพโดยใช้กระบวนการทางวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านฟิสิกส์และดาราศาสตร์ ซึ่งถือว่าเป็นสองเครื่องมือสำคัญในการใช้ศึกษาเอกภพ เป็นที่ยอมรับกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ว่า ยิ่งเรามีความรู้ทางด้านฟิสิกส์และดาราศาสตร์มากขึ้นเท่าใด เราก็จะยิ่งมีความเข้าใจในเอกภพมากขึ้นเท่านั้น
มโนทัศน์เกี่ยวกับเอกภพของมนุษย์เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าเอกภพประกอบด้วยโลกคือเทพเจ้าเก็บ ซึ่งถูกโอบล้อมด้วยท้องฟ้าคือเทพเจ้านัท ต่อมาเมื่อชาวกรีกโบราณศึกษาท้องฟ้าและการโคจรของดวงดาวมากขึ้น เขาก็สามารถสร้างแบบจำลองเอกภพที่สอดคล้องกับข้อมูลที่ได้จากการศึกษานั้น โดยให้โลกเป็นจุดศูนย์กลางของเอกภพ และมีดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ รวมทั้งดาวฤกษ์และดาวเคราะห์ทั้งหลาย โคจรอยู่รายล้อม แบบจำลองโลกเป็นศูนย์กลางนี้เป็นที่ยอมรับกันมานับพันปี ก่อนที่โคเปอร์นิคัสจะเสนอแบบจำลองใหม่ที่ให้ดวงอาทิตย์เป็นศูนย์กลาง ด้วยเหตุผลว่าแบบจำลองนี้ใช้การคำนวณที่ซับซ้อนน้อยกว่า (หลักการของออคแคม) จะเห็นว่าความรู้ความเข้าใจที่เพิ่มขึ้นนั้นทำให้มนุษย์มองโลกและเอกภพต่างออกไป
การศึกษาเอกภพก้าวหน้าขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 เพราะในศตวรรษนี้มีทฤษฎีใหม่ที่ให้ความรู้เกี่ยวกับธรรมชาติของเอกภพมากขึ้น เช่น ทฤษฎีสัมพัทธภาพทั่วไป และควอนตัมฟิสิกส์ รวมทั้งมีการค้นพบหลายสิ่งที่เป็นประโยชน์อย่างมากต่อวงการจักรวาลวิทยา เช่น การค้นพบว่าเอกภพกำลังขยายตัว หรือการค้นพบการแผ่รังสีคอสมิกไมโครเวฟเบื้องหลัง เป็นต้น ทั้งทฤษฎีและการค้นพบใหม่ ๆ เหล่านี้ทำให้ภาพของเอกภพในใจมนุษย์นั้นกระจ่างแจ่มชัดและใกล้เคียงความจริงยิ่งขึ้น อย่างไรก็ตามก็ต้องยอมรับว่าสิ่งที่มนุษย์รู้เกี่ยวกับเอกภพนั้นยังน้อยมาก และยังคงมีอีกหลายปัญหาในทางจักรวาลวิทยาที่ยังคงเป็นปริศนาอยู่ในปัจจุบัน


ขอบฟ้าเหตุการณ์ (Event horizon)

ขอบฟ้าเหตุการณ์ (Event horizon)  คือขอบเขตของกาล-อวกาศ ซึ่งโดยมากมักเป็นพื้นที่โดยรอบหลุมดำ ที่ซึ่งเหตุการณ์ต่างๆ ไม่อาจส่งออกมาถึงผู้สังเกตการณ์ภายนอกได้ แสงที่แผ่ออกมาจากภายในขอบฟ้าเหตุการณ์จะไม่มีวันเดินทางมาถึงผู้สังเกต และวัตถุใดๆ ที่ล่วงผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไปจากฝั่งของผู้สังเกต จะมีสภาวะที่ช้าลงและดูเหมือนจะไม่สามารถข้ามผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไปได้ ภาพที่เห็นจะเกิดภาวะการเคลื่อนไปทางแดงมากยิ่งขึ้นเรื่อยๆ เมื่อเวลาผ่านไป อย่างไรก็ดีวัตถุที่เคลื่อนที่นั้นจะไม่รู้สึกถึงความแตกต่าง และอันที่จริงได้ข้ามผ่านขอบฟ้าเหตุการณ์ไปแล้วในระยะเวลาที่แน่นอนขนาดหนึ่ง



หลุมดำ ( Black hole )

        หลุมดำ ( Black hole )    คือเทหวัตถุในเอกภพที่มีแรงโน้มถ่วงสูงมาก ไม่มีสิ่งใดสามารถหลุดออกมาจากตรงนั้นได้แม้แต่แสง จึงทำให้เราไม่สามารถมองเห็นใจกลางหลุมดำ ขอบเขตของหลุมดำเราเรียกมันว่า ขอบฟ้าเหตุการณ์ ถ้าหากวัตถุหลุดเข้าไปในขอบฟ้าเหตุการณ์ วัตถุจะต้องเร่งความเร็วให้มากกว่าความเร็วแสงจึงจะหลุดออกจากขอบฟ้าเหตุการณ์ได้ แต่เป็นไปไม่ได้ที่วัตถุใดจะมีความเร็วมากกว่าแสง วัตถุนั้นจึงไม่สามารถออกมาได้อีกต่อไป เมื่อดาวฤกษ์ที่มีมวลมหึมาแตกดับลง มันอาจจะทิ้งสิ่งที่ดำมืดที่สุด ทว่ามีอำนาจทำลายล้างสูงสุดไว้เบื้องหลัง นักดาราศาสตร์เรียกสิ่งนี้ว่า "หลุมดำ" เราไม่สามารถมองเห็นหลุมดำด้วยกล้องโทรทรรศน์ใดๆ เนื่องจากหลุมดำไม่เปล่งแสงหรือรังสีใดเลย แต่สามารถตรวจพบได้ด้วยกล้องโทรทรรศน์วิทยุ และคลื่นโน้มถ่วงของหลุ่มดำ

         หลุมดำเป็นซากที่สิ้นสลายของดาวฤกษ์ที่ถึงอายุขัยแล้ว สสารที่เคยประกอบกันเป็นดาวนั้นได้ถูกอัดตัวด้วยแรงดึงดูดของตนเองจนเหลือเป็นเพียงมวลหนาแน่นที่มีขนาดเล็กยิ่งกว่านิวเคลียสของอะตอมเดียว ซึ่งเรียกว่า เอกภาวะ
หลุมดำแบ่งได้เป็น 4 ประเภท คือ หลุมดำมวลยวดยิ่ง เป็นหลุมดำในใจกลางของดาราจักร, หลุมดำขนาดกลางหลุมดำจากดาวฤกษ์ ซึ่งเกิดจากการแตกดับของดาวฤกษ์, และ หลุมดำเชิงควอนตัม ซึ่งเกิดขึ้นในยุคเริ่มแรกของเอกภพ

ซุปเปอร์โนวา (supernova)

มหานวดาราหรือซุปเปอร์โนวา  คำว่า “โนวา” มาจากภาษาลาติน แปลว่าใหม่ หมายถึงการเกิดใหม่ของดาวดวงใหม่ส่องแสงสว่างในท้องฟ้า ส่วนคำว่า “ซูเปอร์” จำแนกมหานวดาราออกจาก โนวา ธรรมดา ต่างกันที่ความสว่างที่สว่างกว่า ขนาดและทางกลที่ต่างกันด้วย 
      ซุปเปอร์โนวา  เป็นการระเบิดที่มีพลังงานสูงมาก เป็นการระเบิดของดาวฤกษ์ขนาดใหญ่ที่สิ้นอายุขัยแล้ว แสงสว่างกับพลังงานระเบิดมหาศาลนั้นจะมีรัศมีสว่างแค่ไม่กี่เดือนก็จะจางลงไป  การระเบิดจะขับไล่ดวงดาวและวัตถุต่างๆ ที่อยู่ใกล้ให้กระเด็นออกไปไกลด้วยความเร็วแสง และเกิดคลื่นกระแทกแผ่ออกไปโดยรอบตรงช่องว่างระหว่างดวงดาว การกระแทกนี้ได้กวาดเหล่าแก๊สและฝุ่นละอองออกไปอย่างรวดเร็ว เรียกปรากฏการณ์นี้ว่าการเกิดซากมหานวดารา



ซุปเปอร์โนวาที่เราคุ้นเคยกันมากที่สุด
คือ มหานวดาราประเภท T2 (Type II Supernovae) เกิดจากการสิ้นสุดวงจรชีวิตของดาวฤกษ์ เป็นการดับของดาวฤกษ์ที่มีขนาดยักษ์กว่าดวงอาทิตย์ของเรา โดยการระเบิดจะเกิดขึ้นอย่างรุนแรงและรวดเร็ว เมื่อเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ในแกนกลางของดาวฤกษ์หมดลง แรงดันที่เกิดจากอิเลคตรอนผลักกันก็จะหายไป ดาวฤกษ์จะยุบตัวลงเนื่องจากแรงโน้มถ่วงอะตอมธาตุในแกนกลางดาวฤกษ์บีบอัดตัวจนชนะแรงผลักจากประจุอะตอมจึงแตกออกเหลือแต่นิวตรอนอัดตัวกันแน่นแทน เปลือกดาวชั้นนอกๆ ที่บีบอัดตามเข้ามาจะกระแทกกับแรงดันจากนิวตรอน จนกระดอนกลับและระเบิดกลายเป็นมหานวดารา วัสดุสารจากการระเบิดมหานวดาราจะเคลื่อนที่ด้วยความเร็วเกือบเท่าความเร็วแสง ที่ใจกลางของมหานวดาราจะมีก้อนนิวตรอนซึ่งจะเรียกว่า ดาวนิวตรอน (neutron star)   โดยเฉลี่ยแล้ว มหานวดาราจะเกิดประมาณห้าสิบปีครั้งหนึ่งในดาราจักรที่มีขนาดเท่าๆ กับทางช้างเผือกของเรา มีบทบาทสำคัญกับการเพิ่มมวลให้กับมวลสารระหว่างดวงดาว นอกจากนั้น การแผ่กระจายของคลื่นกระแทกจากการระเบิดของมหานวดาราสามารถก่อให้เกิดดาวดวงใหม่ได้มากมาย
   ครั้งแรกที่ทำการบันทึกการเกิดมหานวดารา คือ SN 185 ค้นพบโดยนักดาราศาสตร์ชาวจีน ในปี ค.ศ.185





ปีแสง??

ปีแสง คือ หน่วยของระยะทางในทางดาราศาสตร์ 1 ปีแสง เท่ากับระยะทางที่แสงเดินทางในเวลา 1 ปี จากอัตราเร็วแสงที่มีค่า 299,792.458กิโลเมตร/วินาที ระยะทาง 1 ปีแสงจึงมีค่าประมาณ 9.4607×1012 กิโลเมตร = 63,241.077 หน่วยดาราศาสตร์ = 0.30660 พาร์เซก เนื่องจากเอกภพมีขนาดมหึมา แสงจากวัตถุท้องฟ้าที่อยู่ไกลจึงใช้เวลาหลายปีกว่าจะเดินทางมาถึงเรา นั่นหมายความว่าเราเห็นอดีตของวัตถุนั้นอยู่ตลอดเวลา
ปีแสงใช้เพื่อวัดระยะทางระหว่างดาราจักร และไม่ใช่หน่วยวัดเวลา หนึ่งปีแสงมีค่าที่แน่นอนโดยใช้ตัวเลขปีจูเลียน (365.25 วัน) มาคำนวณซึ่งเป็นไปตามข้อกำหนดของสหพันธ์ดาราศาสตร์สากลคือ 9,460,730,472,580.8 กิโลเมตร

ขอบคุณ : วิกิพีเดีย



เนบิวลา (Nebula)

เนบิวลา Nebula  (มาจากภาษาละตินหมายถึง หมอก) 
 เป็นกลุ่มเมฆหมอกของฝุ่น แก๊ส และพลาสมาในอวกาศ ชื่อสามัญของเนบิวลาเดิมใช้เรียกวัตถุทางดาราศาสตร์ที่เป็นปื้นบนท้องฟ้า

เราจำแนกเนบิวลาได้ตามลักษณะของการส่องสว่าง ดังนี้

เนบิวลาสว่าง (Diffuse nebula) 

เป็นเนบิวลาที่มีลักษณะฟุ้ง มีแสงสว่างในตัวเอง  แบ่งเป็น
 เนบิวลาเปล่งแสง  เนบิวลาเปล่งแสงเป็นเนบิวลาที่มีแสงสว่างในตัวเอง เกิดจากการเรืองแสงของอะตอมของไฮโดรเจนที่อยู่ในสถานะไอออน จะเปล่งแสงในช่วงคลื่นที่เฉพาะตัวตามธาตุองค์ประกอบของเนบิวลา ทำให้มีสีต่างๆกัน 
เนบิวลาสะท้อนแสง  เป็นเนบิวลาที่มีแสงสว่างเช่นเดียวกับเนบิวลาเปล่งแสง แต่แสงจากเนบิวลาชนิดนี้นั้น เกิดจากการกระเจิงแสงจากดาวฤกษ์ใกล้เคียงที่ไม่ร้อนมากพอที่จะทำให้เนบิวลานั้นเปล่งแสง กระบวนการดังกล่าวทำให้เนบิวลาชนิดนี้มีสีฟ้า องค์ประกอบหลักของเนบิวลาชนิดนี้ที่ทำหน้าที่กระเจิงแสงจากดาวฤกษ์คือฝุ่นระหว่างดาว (Interstellar dust) การกระเจิงแสงของฝุ่นระหว่างดาวเป็นกระบวนการเดียวกับการกระเจิงแสงของฝุ่นในบรรยากาศซึ่งทำให้ท้องฟ้ามีสีฟ้า 


เนบิวลาดาวเคราะห์ ( Planetary nebula

เนบิวลาดาวเคราะห์เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการในช่วงสุดท้ายของดาวฤกษ์มวลน้อย และดาวฤกษ์มวลปานกลาง เมื่อมันเข้าสู่ช่วงสุดท้ายของชีวิต ไฮโดรเจนในแกนกลางหมดลง ส่งผลให้ปฏิกิริยาเทอร์โมนิวเคลียร์ภายในแกนกลางยุติลงด้วย ทำให้ดาวฤกษ์เสียสมดุลระหว่างแรงดันออกจากความร้อนกับแรงโน้มถ่วง ทำให้แกนกลางของดาวยุบตัวลงเข้าหาศูนย์กลางเนื่องจากแรงโน้มถ่วงของตัวมันเอง จนกระทั่งหยุดเนื่องจากแรงดันดีเจนเนอเรซีของอิเล็กตรอน กลายเป็นดาวแคระขาว เปลือกภายนอกและเนื้อสารของดาวจะหลุดออก และขยายตัวไปในอวกาศ เป็นเนบิวลาดาวเคราะห์ซึ่งไม่มีพลังงานอยู่ แต่มันสว่างขึ้นได้เนื่องจากได้รับพลังงานจากดาวแคระขาวที่อยู่ภายใน เมื่อเวลาผ่านไปดาวแคระขาวก็จะเย็นตัวลง และเนบิวลาดาวเคราะห์ก็จะขยายตัวไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจางหายไปในอวกาศ เนบิวลาดาวเคราะห์ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใดกับดาวเคราะห์ ชื่อนี้ได้มาจากลักษณะที่เป็นวงกลมขนาดเล็กคล้ายดาวเคราะห์เมื่อสังเกตจากกล้องโทรทรรศน์นั่นเอง 

เนบิวลามืด (Dark nebula)

เนบิวลามืด  เนบิวลามืดมีองค์ประกอบหลักเป็นฝุ่นหนาเช่นเดียวกับเนบิวลาสะท้อนแสง แต่เนบิวลามืดนี้ไม่มีแหล่งกำเนิดแสงอยู่ภายในหรือโดยรอบ ทำให้ไม่มีแสงสว่าง เราจะสามารถสังเกตเห็นเนบิวลามืดได้เมื่อมีเนบิวลาสว่าง หรือดาวฤกษ์จำนวนมากเป็นฉากหลัง จะปรากฏเนบิวลามืดขึ้นเป็นเงามืดด้านหน้าดาวฤกษ์หรือเนบิวลาสว่างเหล่านั้น ตัวอย่างเนบิวลามืดที่มีฉากหลังเป็นเนบิวลาสว่าง เช่น เนบิวนารูปหัวม้าอันโด่งดังในกลุ่มดาวนายพราน (Horse Head Nebula) เป็นต้น และตัวอย่างของเนบิวลามืดที่มีฉากหลังเป็นดาวฤกษ์จำนวนมาก เช่น เนบิวลางู (B72 Snake Nebula) เป็นต้น



ลมสุริยะ "Solar wind"

ลมสุริยะ (Solar wind)หรือโซลาร์วิน คือ กระแสของอนุภาคประจุไฟฟ้าที่ถูกปล่อยออกมาจากชั้นบรรยากาศชั้นนอกของดวงอาทิตย์จากทุกทิศทางตลอดเวลา หรืออาจเป็นอานุภาคที่หลุดออกมาจากชั้นโคโรนาของดวงอาทิตย์ ลมสุริยะประกอบไปด้วย อิเล็กตรอนและโปรตรอนซึ่งมีพลังงานเฉลี่ยอยู่ระหว่าง 10-100 eV  หรืืออาจมีไอออนหนักรวมอยู่บ้างเล็กน้อย ลมสุริยะถูกปล่อยออกมาจากชั้นบรรยากาศโคโรนาของดวงอาทิตย์ ความเร็วของลมสุริยะมีขนาดตั้งแต่200ถึง889กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วโดยเฉลี่ยประมาณ400กิโลเมตรต่อชั่วโมง ลมนี้ทำให้เกิดการสูญหายของมวล1ล้านตันต่อ1วินาที           ลมสุริยะทำให้เกิดเฮลิโอสเฟียร์ คือฟองอากาศขนาดใหญ่ในมวลสารระหว่างดาวที่ครอบคลุมระบบสุริยะเอาไว้ 


ผลกระทบต่อสภาพอากาศของโลก
ลมสุริยะทำให้รูปร่างของสนามแม่เหล็กโลกเปลี่ยนไป  ลมสุริยะยังทำให้เกิดปรากฏการณ์อื่นที่เกี่ยวข้องได้แก่ พายุแม่เหล็กโลก (geomagnetic storm) ซึ่งเป็นต้นเหตุทำให้ไฟฟ้าบนโลกใช้การไม่ได้บางครั้งบางคราวออโรร่า (หรือปรากฏการณ์แสงเหนือ-แสงใต้) และหางพลาสมาของดาวหางที่จะชี้ออกไปจากดวงอาทิตย์เสมอ ...





ปรากฏการณ์แสงเหนือแสงใต้ หรือ ออโรร่า (Aurora)

แสงเหนือ- แสงใต้ หรือ ออโรร่า(Aurora)
เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ ซึ่งเกิดจากลมสุริยะที่ถูกพัดพามาจากดวงอาทิตย์มากระทบกับโลกของเรา ซึ่งมักจะปรากฏให้เห็นในบริเวณแถบขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้ 
ปรากฏการณ์นี้จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป ถ้าเกิดขึ้นในบริเวณขั้วโลกเหนือเราจะเรียกมันว่า  "Aurora Borealis" (ออโรรา โบอลิส) หรือแสงเหนือ แต่ถ้าเกิดขึ้นบริเวณขั้วโลกใต้เราจะเรียกมันว่า "Aurora Australis"(ออโรรา ออสเตรลิส)หรือแสงใต้  เราเรียกรวมๆกันว่า " แสงออโรร่า " 



         ปรากฏการณ์แสงออโรร่า จะเกิดขึ้นเหนือพื้นโลกประมาณ100-300 กิโลเมตร  ปรากฎการณ์เหล่านี้จะสามารถสังเกตเห็นได้ในประเทศที่อยู่แถบขั้วโลกเหนือและขั้วโลกใต้  ซึ่งจะขึ้นอยู่กับบริเวณที่ตั้งว่าจะพบเจอมันได้มากหรือน้อยเพียงใด อย่างเช่นในเมือง เมือง Andenes ประเทศนอรเวย์ จะสังเกตเห็นได้ในแทบทุกคืนที่ฟ้าโล่ง เมือง Fairbanks รัฐอลาสกา จะสังเกตเห็นได้ประมาณ 5-10 ครั้งต่อเดือน ในแถบประเทศ เม็กซิโกและเมดิเตอเรเนียน จะเห็นได้  1– 2 ครั้งใน 10 ปี แต่ในขณะที่บริเวณประเทศเส้นศูนย์สูตรก็อาจจะเห็นปรากฏการณ์เช่นว่านี้ได้หากพายุสุริยะ มีความแรงมากพอที่จะผ่า สนามแม่เหล็กโลกและชั้นบรรยากาศโลกมาได้ โดยคาดการณ์กันว่าประเทศในบริเวณ เส้นศูนย์สูตรอาจจะพบกับปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ 1 ครั้งในรอบ 2,000 ปี 
          พายุสุริยะหาใช่เป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้เกิดความสวยงามอย่างเดียวแต่ผลกระทบของมันสามารถทำให้การสื่อสาร-ระบบไฟฟ้าของโลกเราแปรปรวนได้ดั่งเช่นเหตุการณ์ไฟฟ้าดับที่เกิดขึ้นนานร่วม 9 ชั่วโมงในเมือง Quebec ประเทศแคนาดาเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2532



    และลมสุริยะที่ ถูกปลดปล่อยออกมาจากดวงอาทิตย์นั้นมีอยู่ทุกเมื่อบางวันรุนแรงบางวันไม่รุนแรงบ้างเป็นไปตามสถานะธรรมชาติของดวงอาทิตย์  แสงออโรร่าเป็นหนึ่งปรากฏการณ์ ทางวิทยาศาสตร์อันสวยงามในห้วงสุริยะจักรวาลและยังมีหลายปรากฏการณ์ในห้วงจักรวาลและยังมีเรื่องราวและสิ่งเร้นลับในห้วงอวกาศอีกมากมายที่กำลังรอคำตอบจากวิทยาศาสตร์อยู่...




MV เพลงนี้มี ออโรร่า ของจริง!! สวยค่ะ